ภัยพิบัติกับการพัฒนาที่ยั่งยืน
สถานการณ์อุทกภัยในประเทศไทย นับจากเดือนกรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งสิ้น 65 จังหวัด ปัจจุบัน มีจังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู 56 จังหวัด และยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่ 9 จังหวัด โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนงาน/ โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย รวมแล้วเป็นเงินกว่าหกหมื่นล้านบาท
อุทกภัยได้สร้างผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม พื้นที่หลายประเทศในเอเชียถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายจากผลกระทบทางอุทกภัย ไม่ว่าจะเป็น บังคลาเทศ เวียดนาม กัมพูชา อินเดีย เนปาล ศรีลังกา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และประเทศไทย ล้วนเคยประสบกับความสูญเสียจากอุทกภัยมาแล้วทั้งสิ้น
การชั่งน้ำหนักระหว่างต้นทุนและประโยชน์ที่จะได้รับในการจัดการกับความเสี่ยงจากอุทกภัย โดยเฉพาะในบริเวณที่ลุ่มน้ำท่วมถึง เช่น พื้นที่ราบน้ำท่วมถึง ปากแม่น้ำ พื้นที่เมือง และบริเวณชายฝั่ง ควรต้องทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเหล่านี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และได้รับประโยชน์สูงกว่าในระยะยาว
ทั้งนี้ การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติต้องอาศัยคำยึดมั่นและข้อผูกพันระยะยาว ผนวกกับกระบวนการในการวางแผนการพัฒนา ซึ่งหากปราศจากเจตจำนงและข้อผูกมัดทางการเมืองในการขับเคลื่อนการกำหนดนโยบายและกฎหมายที่มุ่งลดความเสี่ยงจากอุทกภัยและพิบัติภัยอื่นๆ แล้ว ความทุ่มเทในการพัฒนาประเทศก็จะถูกคุกคามเสียเอง
ในรายงานของ UNDP เรื่อง “Reducing Disaster Risk: A Challenge for Development” ได้ชี้ให้เห็นความเชื่องโยงระหว่างภัยพิบัติกับการพัฒนาไว้ ดังนี้
ความเชื่องโยงระหว่างภัยพิบัติกับการพัฒนา
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ | การพัฒนาทางสังคม | |||||||||||||
ภัยพิบัติที่จำกัดการพัฒนา |
|
| ||||||||||||
การพัฒนาที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางภัยพิบัติ |
|
| ||||||||||||
การพัฒนาที่ลดความเสี่ยงทางภัยพิบัติ |
|
|
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในเรื่องการจัดการภัยพิบัติจากลำพังการบรรเทาทุกข์ ไปสู่การเตรียมความพร้อมและการลดผลกระทบ จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้มีการยอมรับในการให้ความสำคัญกับการผนวกข้อปฏิบัติด้านการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติเข้าไว้ในแผนการพัฒนามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
เป้าหมายแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน จะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการผนวกหรือทำให้ข้อปฏิบัติด้านการจัดการความเสี่ยงกลายเป็นเรื่องหลักในแผนการพัฒนา โดยมีจุดมุ่งหมายที่ทำให้แน่ใจได้ว่าผลสำเร็จของการพัฒนาสามารถดำเนินต่อไปในมุมที่จะขยายวงของการพัฒนา มากกว่าในมุมที่จะไปลดทอนการพัฒนาจากเหตุภัยพิบัติ ดำเนินไปด้วยความอุตสาหะอย่างผสมผสานสอดคล้องระหว่างผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมที่มีความปลอดภัยมากขึ้นและมีความยั่งยืนในท้ายที่สุด
[Original Link]